
วันนี้อยากจะถามถึงการปฏิบัติของญาติโยมเราทั้งหลายว่า
ที่ได้ทำมานี้แน่ใจแล้วหรือยัง แน่ใจในการทำกรรมฐานของตนแล้วหรือยัง
ที่ถามอย่างนี้เพราะว่าอาจารย์ที่สอนกรรมฐานทุกวันนี้มีมาก
มีทั้งพระสงฆ์ทั้งฆราวาสจึงกลัวว่าญาติโยมจะลังเลสงสัยการกระทำนี้
จึงได้ถามอย่างนั้น
ถ้าเราเข้าใจให้ถูกต้องชัดเจนเราก็จะสามารถทำจิตใจของเราให้สงบได้มั่นคง
แล้วให้เข้าใจด้วยว่ามรรค ๘ ประการนั้น มันรวมอยู่ที่ศีลสมาธิปัญญา
ไม่ได้รวมอยู่ที่อื่น เมื่อเรารวมเข้ามาแล้วมันมีศีล มีสมาธิ
มีปัญญาเช่นเราทำอยู่ปัจจุบันนี้ก็คือ
เราทำมรรคให้เกิดขึ้นมานั่นเองไม่ใช่อื่นไกล
วิธีการนั่งท่านให้นั่งหลับตาไม่ให้มองเห็นสิ่งต่างๆ ก็เพราะว่า
ท่านจะให้ดูจิตของเรา เมื่อหากเราหลับตาเข้าไปแล้วมันจะกลับเข้ามาข้างใน
เมื่อเรานั่งหลับตาให้ยกความรู้ขึ้นเฉพาะลมหายใจ
เอาลมหายใจเป็นประธานน้อมความรู้สึกตามลมหายใจ
เราจึงจะรู้ว่าสติมันจะรวมอยู่ตรงนี้ ความรู้จะมารวมอยู่ตรงนี้
ความรู้สึกจะมารวมอยู่ตรงนี้ เมื่อมรรคนี้มันสามัคคีกันเมื่อใด
เราจะได้มองเห็นว่าลมเราเป็นอย่างนี้ ความรู้สึกเราเป็นอย่างนี้
จิตเราเป็นอย่างนี้
อารมณ์เราเป็นอย่างนี้เราจึงจะรู้จักที่รวมแห่งสมาธิที่รวมแห่งมรรคสามัคคีในที่เดียวกัน
เมื่อเราทำสมาธิกำหนดจิตลงกับลมนึกในใจว่า ที่นี่เรานั่งอยู่คนเดียวรอบๆ
ข้างเรานี้ไม่มีใคร ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ทำความรู้สึกอย่างนี้
เรานั่งอยู่คนเดียวให้กำหนดอย่างนี้จนกว่าจิตของเรามันจะวางข้างนอกหมด
ดูลมเข้าออกอย่างเดียวเท่านั้น มันจะวางข้างนอกจะมีใครหรือไม่
หรือว่าคนนี้นั่งตรงโน้นคนนั้นนั่งตรงนี้อะไรวุ่นวายมันจะไม่เข้ามา
เราเหวี่ยงมันออกไปเสียว่าไม่มีใครอยู่ที่นี้มีแต่เราคนเดียว
นั่งอยู่ตรงนี้จนกว่าจะทำสัญญาอย่างนี้ให้มันหมดไป
จนกว่าจะไม่มีความสงสัยในรอบๆ ข้างเรานี้
เราก็กำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว
เราปล่อยลมให้เป็นธรรมชาติอย่าไปบังคับลมให้มันยาว
อย่าไปบังคับลมให้มันสั้น อย่าไปบังคับลมให้มันแรง
อย่าไปบังคับลมให้มันอ่อน ปล่อยสภาพให้มันพอดีแล้วนั่งดูลมหายใจเข้าออก
เมื่อมันปล่อยอารมณ์เสียงรถยนต์ก็ไม่รำคาญ
เสียงอะไรก็ไม่รำคาญไม่รำคาญสักอย่าง
ข้างนอกจะเป็นรูปเป็นเสียงไม่รำคาญทั้งนั้น
เพราะว่ามันไม่รับเอามันมารวมอยู่ที่ลมหายใจเรานี้
ถ้าจิตของเราวุ่นวายกับสิ่งต่างๆ
ไม่ยอมรวมเข้ามาก็ต้องสูดลมเข้าให้มากที่สุดจนกว่าจะไม่มีที่เก็บ
แล้วก็ปล่อยลมออกให้มากที่สุดจนกว่าจะหมดในท้องเราสัก ๓ ครั้ง
แล้วตั้งความรู้ใหม่แล้วสูดลมต่อไปอีกแล้วตั้งขึ้นใหม่
พักหนึ่งมันก็สงบไปเป็นธรรมดาของมัน
สงบไปอีกสักพักหนึ่งมันก็ไม่สงบอีกอย่างนี้ก็มีวุ่นวายขึ้นมาอีก
เมื่อมันเป็นเช่นนี้แล้ว
เราก็กำหนดจิตของเราให้ตั้งมั่นสูดลมหายใจเข้ามาหายใจ
เอาลมในท้องเราออกให้หมดแล้วก็สูดเอาลมเข้ามาให้มากพักหนึ่ง
แล้วก็ตั้งใหม่อีกกำหนดลมนั้นต่อไปอีกทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อมันเกิดอย่างนี้ก็ทำอย่างนี้เรื่อยไป
แล้วก็กลับมาตั้งสติกับลมหายใจเข้าออก ทำความรู้สึกต่อไปอีกอย่างนี้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้หลายครั้งได้ความชำนาญ
มันจะวางข้างนอกมันจะไม่มีอะไรอารมณ์ข้างนอกก็ส่งเข้ามาไม่ถึง
สติตั้งมั่นดูลมเข้าออกต่อไปอีก ถ้าจิตสงบลมนี้จะน้อยเข้าน้อยเข้าทุกที
มันน้อยเข้าไปอารมณ์มันละเอียด ร่างกายเราก็จะเบาขึ้น
มันก็วางอารมณ์ข้างนอกดูข้างในต่อไป
ต่อนั้นไปเราก็รู้ข้างนอกมันจะรวมเข้าข้างใน
เมื่อรวมเข้าข้างในแล้วความรู้สึกอยู่ในที่ๆ
มันรวมกันอยู่ในลมหายใจนั้นมันจะเห็นลมชัด
เห็นลมออกลมเข้าชัดแล้วมันจะมีสติชัดเห็นอารมณ์ชัดขึ้น
ทุกอย่างจะเห็นศีลเห็นสมาธิเห็นปัญญาโดยอาการมันรวมกันอยู่นี้เรียกว่า "มรรคสามัคคี"
เมื่อความสามัคคีเกิดขึ้นมาแล้วก็ไม่มีอาการวุ่นวายเกิดขึ้นในจิตของเรา
มันจะรวมลงเป็นหนึ่งนี้เรียกว่า "สมาธิ"
นานไปสูดลมหายใจเข้าไปอีกจนกว่าลมจะละเอียดเข้าไปอีก
แล้วความรู้สึกนั้นมันจะหมดไปหมดไปจากลมหายใจก็ได้
มันจะมีความรู้สึกอันหนึ่งมา ลมหายใจมันจะหายไป
คือมันละเอียดอย่างยิ่งจนบางทีเรานั่งอยู่เฉยๆ
ก็เหมือนลมไม่มีแต่ว่ามันมีอยู่ หากรู้สึกเหมือนว่ามันไม่มีเพราะอะไร?
เพราะว่าจิตตัวนี้มันละเอียดมากที่สุด มันมีความรู้เฉพาะของมันนี้
เหลือแต่ความรู้อันเดียว ถึงลมมันจะหายไปแล้ว
ความรู้สึกที่ว่าลมหายใจก็ตั้งอยู่ทีนี้ จะเอาอะไรเป็นอารมณ์ต่อไปเล่า
ก็เอาความรู้นี่แหละเป็นอารมณ์ต่อไปอีก
ความรู้ที่ว่าลมไม่มีลมไม่มีอยู่อย่างนี้เสมอนี่แหละเป็นความรู้อันหนึ่ง
ในจุดนี้บางคนชอบจะมีความสงสัยขึ้นมาก็ได้
สิ่งที่เราคาดไม่ถึงมันจะเกิดขึ้นมาได้ตรงนี้
แต่บางคนก็มีบางคนก็ไม่มี จงตั้งใจให้ดีตั้งสติให้มาก
บางคนเห็นว่าลมหายใจไม่มีแล้วก็ตกใจเพราะธรรมดาลมมันมีอยู่
เมื่อเราคิดว่าลมไม่มีแล้วก็ตกใจว่าลมไม่มีกลัวว่าเราจะตายก็ได้
ตรงนี้ให้เรารู้ทันมันว่าอันนี้มันเป็นของมันอย่างนี้แล้ว
เราจะดูอะไรก็ดูลมไม่มีต่อไปเป็นความรู้
นี่จัดว่าเป็นสมาธิอันแน่วแน่ที่สุดของสมาธิ
มีอารมณ์เดียวแน่นอนไม่หวั่นไหว
เมื่อสมาธิถึงจุดนี้จะมีความรู้สึกสารพัดอย่างที่มันรู้อยู่ในจิตของเรา
เช่นบางทีร่างกายมันก็เบาที่สุดจนบางทีก็เหมือนกับไม่มีร่างกาย คล้ายๆ
นั่งอยู่ในอากาศรู้สึกเบาไปทั้งหมด ถึงแม้ที่เรานั่งอยู่ก็ดูเปล่าว่าง
อันนี้มันเป็นของแปลกก็ให้เข้าใจว่าไม่เป็นอะไร
ทำความรู้สึกอย่างนั้นไว้ให้มั่นคง
เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งเพราะไม่มีอารมณ์ใดมาเสียดแทง
อยู่ไปเท่าใดก็ได้ไม่มีความรู้สึกถึงเวทนาเจ็บปวดอะไร
อยู่อย่างนี้เมื่อการทำสมาธิมาถึงตอนนี้ เราจะออกจากสมาธิก็ได้ไม่ออกก็ได้
ออกจากสมาธิก็ออกอย่างสบาย หรือจะไม่ออกเพราะว่าขี้เกียจ
ไม่ออกเพราะว่าเหน็ดเหนื่อย
หรือจะออกเพราะว่าสมควรแล้วก็ออกมาถอยออกมาถอยออกมา
อย่างนี้อยู่สบายออกมาสบายไม่มีอะไรนี่เรียกว่าสมาธิที่สมควรสบาย
ถ้าเรามีสมาธิอย่างนี้ อย่างนั่งวันนี้เข้าสมาธิสัก ๓๐
นาทีหรือชั่วโมงหนึ่งจิตใจของเราจะมีความเยือกเย็นไปตั้งหลายวัน
เมื่อจิตมีความเยือกเย็นหลายวันนั้น
จิตจะสะอาดเห็นอะไรแล้วจะรับพิจารณาทั้งนั้น
อันนี้เป็นเบื้องแรกของมันนี้เรียกว่าผลเกิดจากสมาธิ
สมาธินี้มีหน้าที่ทำให้สงบ
สมาธินี้ก็มีหน้าที่อย่างหนึ่ง ศีลนี้ก็มีหน้าที่อย่างหนึ่ง
ปัญญานี้ก็มีหน้าที่อย่างหนึ่ง
อาการที่เรากำหนดในที่นั้นมันจะเป็นวงกลมอย่างนี้ตามที่ปรากฏอยู่ในใจเรา
มันจะมีศีลอยู่ตรงนี้มีสมาธิอยู่ตรงนี้มีปัญญาอยู่ตรงนี้
เมื่อจิตเราสงบแล้วมันจะมีการสังวรสำรวมเข้าด้วยปัญญาด้วยกำลังสมาธิ
เมื่อสำรวมเข้าละเอียดเข้ามันจะเป็นกำลังช่วย
ศีลบริสุทธิ์ขึ้นมามากก็จะช่วยให้สมาธิเกิดขึ้นมามากให้ดีขึ้นมาก
เมื่อสมาธิเต็มที่แล้วมันจะช่วยปัญญาจะช่วยกัน
ดังนี้เป็นไวพจน์ซึ่งกันและกันต่อไปโดยรอบอย่างนี้
จนกว่ามรรคคือศีลสมาธิปัญญารวมกันเป็นก้อนเดียวกัน แล้วทำงานสม่ำเสมอกัน
เราจะต้องรักษากำลังอย่างนี้อันนี้เป็นกำลังที่จะทำให้เกิดวิปัสนาคือปัญญา
สิ่งที่ควรระวัง
การทำสมาธินี้อาจให้โทษแก่ผู้ปฏิบัติได้
ถ้าผู้ปฏิบัติไม่ใช้ปัญญาและก็ย่อมให้คุณแก่ผู้ปฏิบัติได้มาก
ถ้าผู้ปฏิบัติเป็นผู้มีปัญญาสมาธิก็จะส่งจิตไปสู่วิปัสนา
สิ่งที่จะเป็นโทษแก่ผู้ปฏิบัตินั้นก็คือ
การที่ผู้ปฏิบัติหลงติดอยู่ในอัปปนาสมาธิซึ่งเป็นความสงบลึกและมีกำลังอยู่นานที่สุด
เมื่อจิตสงบก็เป็นสุขเมื่อเป็นสุขแล้วก็เกิดอุปาทานยึดสุขนั้นเป็นอารมณ์
ไม่อยากจะพิจารณาอย่างอื่นอยากมีสุขอยู่อย่างนั้น เมื่อเรานั่งสมาธินานๆ
จิตมันจะถลำเข้าไปง่าย พอเริ่มกำหนดมันก็สงบแล้วก็ไม่อยากจะทำอะไร
ไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากพิจารณาอะไร
อาศัยความสุขนั้นเป็นอยู่อันนี้จึงเป็นอันตรายแก่ผู้ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้
จิตต้องอาศัยอุปจารสมาธิ คือกำหนดเข้าไปสู่ความสงบแล้วพอสมควรก็ถอนออกมา
รู้อาการภายนอกดูอาการภายนอกให้เกิดปัญญา
อันนี้ดูยากสักหน่อยหนึ่งเพราะมันคล้ายๆ จะเป็นสังขารความปรุงแต่ง
เมื่อมีความคิดเกิดขึ้นมาเราอาจเห็นว่าอันนี้มันไม่สงบ
ความเป็นจริงความรู้สึกนึกคิดในเวลานั้นมันรู้สึกอยู่ในความสงบ
พิจารณาอยู่ในความสงบแล้วก็ไม่รำคาญ บางทีก็ยกสังขารขึ้นมาพิจารณา
ที่ยกขึ้นมาพิจารณานั้นไม่ใช่ว่าคิดเอาหรือเดาเอา
มันเป็นเรื่องของจิตที่เป็นขึ้นมาเองของมัน
อันนี้เรียกว่าความรู้อยู่ในความสงบ ความสงบอยู่ในความรู้
ถ้าเป็นสังขารความปรุงแต่งจิตมันก็ไม่สงบมันก็รำคาญ
แต่อันนี้ไม่ใช่เรื่องปรุงแต่งมันเป็นความรู้สึกของจิตที่เกิดขึ้นจากความสงบ
เรียกว่าการพิจารณานี่ปัญญาเกิดตรงนี้
สมาธิทั้งหลายเหล่านี้แบ่งเป็นมิจฉาสมาธิอย่างหนึ่ง
คือเป็นสมาธิในทางที่ผิด เป็นสัมมาสมาธิอย่างหนึ่งคือสมาธิในทางที่ถูกต้อง
นี้ก็ให้สังเกตให้ดี มิจฉาสมาธิคือความที่จิตเข้าสู่สมาธิเงียบ..หมด...ไม่รู้อะไรเลยปราศจากความรู้
นั่งอยู่สองชั่วโมงก็ได้กระทั่งวันก็ได้แต่จิตไม่รู้ว่ามันไปถึงไหนมันเป็นอย่างไร
ไม่รู้เรื่องนี่สมาธิอันนี้เป็นมิจฉาสมาธิ
มันก็เหมือนมีดที่เราลับให้คมดีแล้วแต่เก็บไว้เฉยๆ
ไม่เอาไปใช้มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรอย่างนั้น
ความสงบอันนั้นเป็นความสงบที่หลง คือว่าไม่ค่อยรู้เนื้อรู้ตัว
เห็นว่าถึงที่สุดแล้วก็ไม่ค้นคว้าอะไรอีกต่อไปจึงเป็นอันตรายเป็นข้าศึก
ในขั้นนั้นอันนี้เป็นอันตรายห้ามปัญญาไม่ให้เกิด
ปัญญาเกิดไม่ได้เพราะขาดความรู้สึกรับผิดชอบ
ส่วนสัมมาสมาธิที่ถูกต้อง
ถึงแม้จะมีความสงบไปถึงแค่ไหนก็มีความรู้อยู่ตลอดเวลาตลอดเวลา
มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์บริบูรณ์..รู้ตลอดกาลนี้เรียกว่าสัมมาสมาธิ
เป็นสมาธิที่ไม่ให้หลงไปในทางอื่นได้ นี้ก็ให้นักปฏิบัติเข้าใจไว้ให้ดี
จะทิ้งความรู้นั้นไม่ได้จะต้องรู้แต่ต้นจนปลายทีเดียวจึงจะเป็นสมาธิที่ถูกต้อง
ขอให้สังเกตให้มาก สมาธิชนิดนี้ไม่อันตราย
เมื่อเราเจริญสมาธิที่ถูกต้องแล้วอาจจะสงสัยว่ามันจะได้ผลที่ตรงไหน
มันจะเกิดปัญญาที่ตรงไหน
เพราะท่านตรัสว่าสมาธิเป็นเหตุให้เกิดปัญญาวิปัสสนา
สมาธิที่ถูกต้องเมื่อเจริญแล้วมันจะมีกำลังให้เกิดปัญญาทุกขณะ
ในเมื่อตาเห็นรูปก็ดี หูฟังเสียงก็ดี จมูกดมกลิ่นก็ดี ลิ้นลิ้มรสก็ดี
กายถูกต้องโผฏฐัพพะก็ดี ธรรมารมณ์เกิดกับจิตก็ดี
อิริยาบถยืนก็ดีนั่งก็ดีนอนก็ดี
จิตก็จะไม่เป็นไปตามอารมณ์แต่จะเป็นไปด้วยความรู้ตามเป็นจริงของธรรมะ
ฉะนั้น
การปฏิบัตินี้เมื่อมีปัญญาเกิดขึ้นมาแล้ว
ก็ไม่เลือกสถานที่จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนก็ตาม
จิตมันเกิดปัญญาแล้วเมื่อมีสุขเกิดขึ้นมาก็รู้เท่า
มีทุกข์เกิดขึ้นมาก็รู้เท่า สุขก็สักว่าสุข ทุกข์ก็สักว่าทุกข์เท่านั้น
แล้วก็ปล่อยทั้งสุขและทุกข์ไม่ยึดมั่นถือมั่น
เมื่อสมาธิถูกต้องแล้ว มันทำจิตให้เกิดปัญญาอย่างนี้เรียกว่าวิปัสสนา
มันก็เกิดความรู้เห็นตามเป็นจริง
นี้เรียกว่าสัมมาปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง มีอิริยาบถสม่ำเสมอกัน
คำว่าอิริยาบถสม่ำเสมอกันนี้ท่านไม่หมายเอาอิริยาบถภายนอกที่ยืนเดินนั่งนอน
แต่ท่านหมายเอาทางจิตที่มีสติสัมปชัญญะอยู่นั่นเอง
แล้วก็รู้เห็นตามเป็นจริงทุกขณะคือมันไม่หลง
ความสงบนี้มีสองประการคือ
ความสงบอย่างหยาบอย่างหนึ่งและความสงบอย่างละเอียดอีกอย่างหนึ่ง
อย่างหยาบนั่นคือเกิดจากสมาธิที่เมื่อสงบแล้วก็มีความสุข
แล้วถือเอาความสุขเป็นความสงบ อีกอย่างหนึ่งคือความสงบที่เกิดจากปัญญานี้
ไม่ได้ถือเอาความสุขเป็นความสงบ
แต่ถือเอาจิตที่รู้จักพิจารณาสุขทุกข์เป็นความสงบ
เพราะว่าความสุขทุกข์นี้เป็นภพเป็นชาติเป็นอุปาทาน
จะไม่พ้นจากวัฏฏสงสารเพราะติดสุขติดทุกข์ ความสุขจึงไม่ใช่ความสงบ
ความสงบจึงไม่ใช่ความสุข ฉะนั้นความสงบที่เกิดจากปัญญานั้นจึงไม่ใช่ความสุข
แต่เป็นความรู้เห็นตามความเป็นจริงของความสุขความทุกข์
แล้วไม่มีอุปาทานมั่นหมายในสุขทุกข์ที่มันเกิดขึ้นมา
ทำจิตให้เหนือสุขเหนือทุกข์นั้น
ท่านจึงเรียกว่าเป็นเป้าหมายของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
....คนที่ไม่รู้จักสุขไม่รู้จักทุกข์นั้นก็จะเห็นว่าสุขกับทุกข์นั้นมันคนละระดับ
มันคนละราคากัน
ถ้าผู้รู้ทั้งหลายแล้วท่านจะเห็นว่าสุขเวทนากับทุกขเวทนามันมีราคาเท่าๆ กัน
|